บทความชิ้นนี้ จะขอทำตัวเป็นครูไหว (ในเรื่องโพสต์ไว้ก่อนหน้านี้) เพื่อวิพากษ์วิจารณ์แบบสร้างสรรค์สักหน่อย รับได้หรือไม่ได้ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร แสดงความคิดเห็นกันได้นะครับ
เรื่องนี้เริ่มต้นที่...
มีเจ้าของบ้านหลังหนึ่ง ได้เปิดสนามหน้าบ้านของตัวเอง ให้คนอื่นๆ ได้เข้ามาวิ่งเล่น และทำกิจกรรมด้วยกัน แต่ก็มีกฎระเบียบตามที่เจ้าของบ้านตั้งไว้ตามเห็นสมควร
จากหนึ่งคนเป็นสองคน จากสองคนก็เป็นสิบ จากสิบก็เป็นร้อย จากร้อยก็เป็นพัน คนมาวิ่งเล่นที่สนามในบ้านแห่งนี้เยอะขึ้นเรื่อยๆ เนื่องด้วยเพราะเป็นที่แห่งมิตรภาพ ความอบอุ่น มีพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ มาวิ่งเล่นที่สนามแห่งนี้เยอะแยะ และแต่ละคนก็มีอัธยาศัยที่ดีๆ ทั้งนั้น ผมเองยังชวนเพื่อนๆ น้องๆ ที่รู้จักมาวิ่งเล่นที่สนามแห่งนี้หลายคน
เมื่อคนเริ่มเยอะ เจ้าของบ้านก็ขยายบ้านออกไปเรื่อยๆ มีส่วนสอนทำอาหาร มีส่วนรับเลี้ยงเด็ก แต่สนามที่ผมวิ่งเล่น ก็ยังเหมือนเดิม พวกผมยังคงวิ่งเล่นอย่างสบายใจ
จนมาวันหนึ่ง เจ้าของบ้านเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในหลายๆ อย่าง ผมอาจจะวิ่งเล่นมากไป เกะกะไปโดนคนอื่นบ้าง แต่ผมก็ไม่ใช่อันธพาลที่มาก่อกวนสนามแห่งนี้ เพียงแต่เจ้าของบ้านอาจจะมองต่างกันไป แทนที่จะดุว่ากล่าวตักเตือนแบบดีๆ ดันตวาดมากลางสนามซะอย่างงั้น
หลังจากวันนั้นมา ผมก็คิดได้ว่า สนามในบ้านแห่งนี้ คงไม่เหมาะสมอีกต่อไป
ก่อนที่จะเข้าประเด็นของผม ผมอยากให้ทุกคนลองอ่านบทความชิ้นนี้ก่อน
สิ่งที่มนุษย์สร้าง ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์นัก
คอลัมน์ คุยกับประภาส โดย ประภาส ชลศรานนท์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม 2548
ลาพักร้อนไปสองเดือนเต็มเลยครับ
เคยเป็นอย่างผมไหมครับ ที่อยู่ดีๆ หัวมันก็ตื้อๆ ขึ้นมาเสียอย่างนั้น จะขีดจะเขียนหรือจะคุยอะไรกับใครก็ให้ฝืดมือฝืดปากไปหมด เลยขออนุญาตท่านบรรณาธิการหยุดพักสักเดือนหนึ่ง แต่พอเอาเข้าจริงๆ ผมก็แถมไปอีกเดือนจนได้
ช่วงที่หยุดเขียนไปนั้น ก็ให้พอดีกับเป็นช่วงสำคัญช่วงหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของหนังสือพิมพ์มติชน หรือถ้าจะพูดให้ถูกที่สุดก็ต้องบอกว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของวงการหนังสือพิมพ์เลยก็ได้ และแฟนๆ คอลัมน์หลายคนก็ชอบถามผมว่าผมคิดอย่างไรกับเรื่องนี้
คงไม่มีคนไทยคนไหนไม่ได้ข่าวนะครับ เรื่องบริษัทจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ จำกัด(มหาชน) พยายามเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท มติชน จำกัด(มหาชน) และก็น่าจะได้อ่านความคิดเห็นของผู้คนทั่วทุกวงการแล้วว่าคิดอย่างไร คอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับพูดถึงประเด็นนี้ตลอดทั้งอาทิตย์ รายการโทรทัศน์เชิงข่าวก็เกาะติดเรื่องนี้อย่างไม่ปล่อย
ถึงวันนี้แล้ว ปมขัดแย้งดูเหมือนจะคลี่คลายไปหลายเปาะ แม้หลายคนจะแสดงความกังวลอะไรบางอย่างอยู่บ้าง
ช่วงนั้น ถึงจะไม่ได้เขียนคอลัมน์ แต่จดหมายหลายฉบับก็เขียนไปถามความเห็นผมว่า ผมคิดอย่างไรกับเรื่องนี้
ผมมองเรื่องนี้อยู่สามมุมครับ เพราะส่วนที่ผมเกี่ยวข้องอยู่กับมติชนนั้นมีอยู่สามมุม
มุมแรก ผมมองมติชนเป็นสื่อที่อิสระ มุมนี้เป็นมุมสำคัญที่สุด และเป็นมุมที่นักวิชาการและนักสื่อสารมวลชนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะสำหรับสังคมประชาธิปไตยแล้ว สื่อที่มีความเสรีทางความคิดก็ไม่ต่างอะไรกับเสาหลักที่คอยค้ำระบอบอยู่
เราต้องยอมรับว่าลำพังแค่กลไกในสภา บางครั้งก็ไม่อาจทำอะไรผู้ปกครองที่ถือเสียงข้างมากอยู่ในมือและบริหารราชการผิดพลาดได้
ในทางกลับกัน หากผู้ปกครองคิดแบบคนมองโลกในแง่ดี การมีสื่ออิสระย่อมทำให้เกิดกระจกเงาสะท้อนภาพที่เป็นจริงของบ้านเมืองมากกว่า การสะท้อนจากสื่อที่ถูกครอบงำ
นิทานปรัมปราเรื่องหนึ่งเล่าว่า พระราชาองค์หนึ่งไปได้ฉลองพระองค์วิเศษมาชุดหนึ่ง โดยถูกหลอกว่าฉลองพระองค์นี้คนที่จงรักต่อพระองค์และประเทศชาติเท่านั้นจึงจะมองเห็น คนที่คิดประทุษร้ายต่อบ้านเมืองจะมองไม่เห็น ทั้งๆ ที่พระองค์เองก็มองไม่เห็นชุด แต่ก็ต้องทำเป็นมองเห็นแล้วทำท่าสวมฉลองพระองค์ชุดนั้นเสด็จออกประพาสบ้านเมือง ข้าราชบริพารและประชาชนที่เกรงกลัวความผิดต่างก็ถวายพระพร และสดุดีชุดที่พระองค์สวมใส่อยู่ว่าสวยอย่างนู้นอย่างนี้ตลอดทาง
จนมาถึงมุมถนนแห่งหนึ่ง มีเด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งชี้มาทางพระองค์แล้วตะโกนว่า พระราชาโป๊ๆ ด้วยประโยคสั้นๆ นี้เองพระองค์จึงคิดได้
หนังสือพิมพ์มติชนก็ไม่ผิดอะไรกับเด็กคนนั้นหรอกครับ
ในมุมนี้แม้ทางฝ่ายแกรมมี่จะยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่แทรกแซงการบริหารหนังสือ และการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาลเลย แต่พี่ไพบูลย์ก็ต้องยอมรับว่าของพรรค์นี้มันยืนยันด้วยปากไม่ได้
มุมที่สอง หากมองอย่างมุมนักธุรกิจ โดยมองว่าทั้งมติชนและแกรมมี่ล้วนเป็นองค์กรทางธุรกิจ อะไรก็ตามที่มีการกำไรมีการขาดทุนก็ต้องเรียกว่ามันเป็นธุรกิจทั้งนั้นแหละครับ ถ้าให้มองมุมของค้าของขายก็ต้องให้ความเห็นว่า การที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งเข้ามาถือหุ้นใหญ่หรือเทกโอเวอร์ในอีกบริษัทหนึ่งก็ต้องถือว่าไม่เห็นเป็นเรื่องผิดปกติตรงไหน นักการเงินหลายคนที่ผมรู้จักพูดห้วนๆ เลยว่า หุ้นในตลาดมีไว้ซื้อขาย การซื้อหุ้นแม้จะเยอะแค่ไหนก็ตาม หากถูกต้องตามกฎของตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่เห็นสมควรจะต้องถูกตำหนิตรงไหน
คนที่ปากร้ายหน่อยอาจพูดถึงขนาดว่า เอาบริษัทมาเข้าตลาดแล้วไยต้องกลัวการถูกซื้อ
ในมุมที่สองนี้ แม้นักธุรกิจหลายคนจะเห็นว่าก็ไม่มีอะไรในกอไผ่เลย นอกจากบริษัทสองบริษัทกำลังซื้อกำลังขายกัน ถึงต่อให้ลืมประโยคที่ว่า "การเข้าซื้อกิจการอย่างไม่เป็นมิตร" แต่ก็เชื่อผมเถิดว่าในมุมมองที่สองนี้ก็คงไม่มีใครกล้าออกมาพูดต่อที่สาธารณะ เพราะถ้ามองอย่างประชาชนที่ใฝ่หาสื่ออันเสรี มุมที่สองนี้ค่อนข้างที่จะเป็นมุมของความเห็นแก่ตัวเกินไป
เรื่องค้าขาย เรื่องเงินทอง แม้จะเป็นอาหารหลักในชีวิตประจำวันของคนเมืองก็จริง แต่มันก็พร้อมเป็นของแสลงได้ทันทีเหมือนกัน จริงไหมครับ
ในมุมที่สาม
ตัวผมเองเกี่ยวข้องกับหนังสือพิมพ์มติชนในฐานะสมาชิกคนหนึ่งในสังคมมติชน เพราะผมนั้นเป็นทั้งคนเขียนและคนอ่าน ยิ่งในมุมของคนอ่านผมก็ดันเป็นคนอ่านประเภทติดหนึบกับงานในเครือของมติชน ไม่ว่ามติชนรายวัน รายสัปดาห์ รวมไปถึงศิลปวัฒนธรรมที่อ่านมาแต่ครั้งรุ่นกระทง จะเรียกว่าเติบโตมากับงานของพี่ช้างขรรค์ชัยและพี่สุจิตต์ก็คงไม่ผิด
ผมไม่ได้มองมติชนเป็นบริษัท ผมมองมติชนเป็นสถาบัน
และก็เป็นสถาบันที่มีนักคิดนักเขียนเดินเข้าเดินออกกันอย่างขวักไขว่คึกคัก ที่น่าสนใจก็คือ ความคิดเห็นหลายเรื่องในมติชนและศิลปวัฒนธรรมก็ค้านกันเองอย่างไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหม ซึ่งทำให้ผมมองเห็นภาพความอิสระในความคิดชัดเจนมาตลอดในสถาบันนี้
และผมก็เชื่อว่า ผู้คนมากมายที่พร้อมใจกันออกมาให้กำลังใจมติชน และแสดงทีท่าคัดค้านการตัดสินใจของพี่ไพบูลย์ก็ล้วนมองเห็นมติชนในมุมของสถาบัน มากกว่ามองเห็นเป็นบริษัทมติชน จำกัด(มหาชน)
หลายคนออกหน้ามาเชียร์มติชน ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวกับพี่ช้างขรรค์ชัยเลย
และบางคนที่เชียร์มติชนสารภาพกับผมเลยว่า เขาซื้อเทปแกรมมี่มากกว่าหนังสือในเครือมติชนเสียอีก
สิ่งที่มนุษย์สร้าง ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์นัก ผมขึ้นหัวเรื่องไว้อย่างนั้นเพราะผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
มิลอส ฟอร์แมน ผู้กำกับฯหนังเรื่องอามาดิอุส หนังอัตชีวประวัติของโมสาร์ทที่คว้าออสการ์ถึง 8 ตัว ให้สัมภาษณ์น่ารักเหลือเกินว่า เขารู้สึกภูมิใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในความยิ่งใหญ่ครั้งนี้
ทั้งๆ ที่สร้างเองแท้ๆ เขายังใช้แค่คำว่าเป็นส่วนหนึ่ง
เอาใกล้ๆ ตัวผมนี่ดีกว่าอธิบายความรู้สึกได้สะดวกดี วงเฉลียงที่ผมทำมากับมือ วงดนตรีที่แม้จะมีแฟนเพลงแค่หยิบมือ แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นของผม หรือของคนใดคนหนึ่ง ทุกวันนี้แม้จะไม่ได้มีงานเพลงออกมาแล้ว แต่ความที่มันเป็นสถาบันที่เราสร้างมันขึ้นมาแล้ว และมีผู้คนกลุ่มหนึ่งรักและศรัทธามัน ผมก็มีหน้าที่เพียงดูแลมันให้ไม่ผิดไปจากวัตถุประสงค์เดิม แค่นั้น
และผมก็ยังรู้สึกเกรงใจเสมอที่จะทำอะไรกับมัน เพราะมันยิ่งใหญ่กว่าเรามากนัก
เดอะบีตเทิลส์ วงดนตรีสี่ชิ้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเป็นตัวอย่างในเรื่องความรู้สึกนี้ได้ดีที่สุดกับคนหมู่มาก ต่อให้พอล แม็กคาร์ตนีย์ ผู้ก่อตั้งวงมาพร้อมกับจอห์น เลนนอน ผู้ล่วงลับอยากจะทำอะไรกับเดอะบีตเทิลส์ก็ตาม ผมว่าเขาก็ต้องเกรงใจคนทั้งโลก เพราะเดอะบีตเทิลส์เป็นสถาบันที่มีเจ้าของร่วมมากมายเป็นสิบๆ ล้านคน
มติชนก็เหมือนกันในความรู้สึกผม
แม้พี่ช้างจะเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ยิ่งใหญ่มากคนหนึ่ง แต่ "มติชน" ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก
หากลองมองกลับอีกมุมหนึ่งบ้างว่า แกรมมี่ ก็เป็นสถาบันที่พี่ไพบูลย์และพี่เต๋อเรวัติ สร้างมันขึ้นมา และแน่นอนในความรู้สึกของผม แกรมมี่ก็ต้องยิ่งใหญ่กว่าพี่ไพบูลย์
หรือใครจะเถียงผมว่าค่ายเพลงอันดับหนึ่งของประเทศไม่ยิ่งใหญ่
บางทีสมาชิกของสถาบันแกรมมี่เองไม่ว่าจะเป็นหุ้นส่วน ผู้ร่วมงาน คนฟังเพลง ฯลฯ ก็อาจไม่พอใจนักก็ได้ในเรื่องที่พี่ไพบูลย์ตัดสินใจเมื่อเดือนก่อน
ผมว่าผมได้ยินมาอย่างนั้นนะ
ผมกำลังมองว่า ณ บ้านแห่งนี้ เจ้าของยังมีอำนาจและสิทธิขาดเหมือนเดิม รวมถึงห้องสอนทำอาหาร และห้องรับเลี้ยงเด็กด้วย เพียงแต่ในส่วนของสนามหน้าบ้าน ผมกำลังมองไปถึงขั้นที่ว่า เจ้าของบ้านเป็นแค่เพียงผู้ก่อสร้างเท่านั้น แต่สมาชิกที่มาวิ่งเล่นในสนามแห่งนี้ต่างหาก ที่เป็นเจ้าของสนามที่แท้จริง
จริงอยู่ที่ว่า ถ้าไม่มีเจ้าของบ้าน ก็จะไม่มีสนามแห่งนี้ แต่ก็อย่าลืมว่า ถ้าไม่มีคนมาวิ่งเล่นที่สนามแห่งนี้ สนามที่นี่ ก็จะไม่อบอุ่น ไม่มีมิตรภาพ และอาจจะไม่มีคนเข้ามาวิ่งเล่นมากขนาดนี้
ถ้าไม่มีห้องสอนทำอาหาร ห้องรับเลี้ยงเด็ก ผมก็คงไม่ติดใจอะไรขนาดนี้ สนามหน้าบ้านคุณ คุณเปิดให้ผมมาวิ่งเล่น ก็น่าจะใจกว้างมากพอแล้ว แต่ผมมองไปถึงขั้นที่ว่า เพราะผมและเพื่อนๆ ผม รวมถึงทุกๆ คนที่มาวิ่งเล่นที่นี่ เป็นส่วนที่ทำให้ห้องสอนทำอาหาร ห้องรับเลี้ยงเด็กเกิดขึ้นได้ แบบนี้คุณจะมองทุกคนที่มาวิ่งเล่นที่สนามแห่งนี้ว่าเป็นแค่ผู้มาวิ่งเล่นเท่านั้นเองหรือ?